ตรวจสอบและทบทวนบทที่5
ตรวจสอบและทบทวน
ในการเขียนแผนจัดการเรียนรู้ขั้น การเรียนรู้จากสื่อดิจิทัล
ปฏิบัติการผลิตหรือจัดหาสื่อที่เกี่ยวข้อง บทเรียน
การวางแผนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ได้ดําเนินการแล้ว
การนําเสนอสาระความรู้ในรูปแบบ คิจิทัล อาทิ พาวเวอร์พอยต์
สื่อ / แหล่งเรียนรู้
1. วิดีโอ
2. พาวเวอร์พอยต์
ตัวอย่างเนื้อหา พาวเวอร์พ้อย
โลกเป็นดาวเคราะห์ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
มีการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทั้งส่วน
ที่เป็นบรรยากาศห่อหุ้มโลกและส่วนที่ประกอบอยู่ภายในของโลก อันเป็นผลมาจากอิทธิพลของการหมุนของโลกรอบดวงอาทิตย์
และรอบตัวเอง รวมไปถึงการที่โลกยังร้อนอยู่ภายในมีทฤษฎีหลายทฤษฎี
ที่อธิบายถึงการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก
ทฤษฎีการเคลื่อนที่
1. ทฤษฎีวงจรการพาความร้อน (Convection
current theory)
กล่าวไว้ว่าการหมุนเวียนของกระแสความร้อนภายในโลก
มีลักษณะเช่นเดียวกับการเดือดของน้ำในแก้ว
กล่าวคือโลกส่งผ่านความร้อนจากแก่นโลกขึ้นมาสู่ชั้นแมนเทิล
ซึ่งมีลักษณะเป็นของไหลที่มีสถานะกึ่งแข็งกึ่งเหลว
และผลักดันให้สารในชั้นนี้หมุนเวียนจากส่วนล่างขึ้นไปสู่ส่วนบนส่งผลให้เปลือกโลกซึ่งเป็นของแข็งปิดทับอยู่บนสุดเกิดการแตกเป็นแผ่น
(Plate) และเคลื่อนที่ในลักษณะเข้าหากัน
แยกออกจากกัน และไถลตัวขนานออกจากกัน
การไหลเวียนของกระแสความร้อนภายในโลก
2. ทฤษฎีทวีปเลื่อน(Continental
Drift Theory)
นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามศึกษา และรวบรวมข้อมูล
เพื่อสรุปเป็นทฤษฎี อธิบายสาเหตุการเกิดของแผ่นดินไหว
ในปัจจุบันทฤษฎีการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก (Plate Tectonics Theory) ได้รับการยอมรับมากที่สุด
ทฤษฎีนี้พัฒนามาจากทฤษฎีว่าด้วยทวีปเลื่อน (Theory of Continental Drift) ของอัลเฟรด โลทาร์ เวเกเนอร์ (Alfred Lothar Wegener พ.ศ. ๒๔๒๓ – ๒๔๗๓ นักวิทยาศาสตร์ ชาวเยอรมัน)
ซึ่งเสนอไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๕ สมมติฐานกล่าวไว้ว่า เมื่อราว 250 ล้านปีก่อน ทวีปต่าง ๆ เคยติดกันเป็นทวีปขนาดใหญ่เรียกว่า พันเจีย (Pangea)
ต่อมามีการเคลื่อนตัวแยกออกจากกัน จนมาอยู่ในตำแหน่งปัจจุบัน
หลักฐานที่เชื่อว่าแผ่นทวีปเคลื่อนที่นี้คือ ในปัจจุบันได้พบชนิดหิน
ที่เกิดในสภาวะแวดล้อมเดียวกันแต่อยู่คนละทวีปซึ่งห่างไกลกันมากหินอายุเดียวกัน
ที่อยู่ต่างทวีปกันมีรูปแบบสนามแม่เหล็กโลกโบราณคล้ายคลึงกัน
และขอบของทวีปสามารถเชื่อมตัวประสานแนบสนิทเข้าด้วยกันได้ ต่อมา แฮร์รี แฮมมอนด์
เฮสส์ (Harry Hammond Hess พ.ศ. ๒๔๔๙ – ๒๕๑๒ นักธรณีวิทยา ชาวอเมริกัน) ได้เสนอแนวคิด ที่พัฒนาใหม่นี้ในทศวรรษ
๒๕๐๐
ภาพจำลองการของทวีปเลื่อน
ภาพจำลองแผ่นเปลือกโลก ที่รองรับมหาสมุทร มุดลง
ไปใต้แผ่นเปลือกโลกที่รองรับทวีป
ทฤษฎีการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก
ได้อธิบายว่า ปรากฏการณ์แผ่นดินไหว
เกิดจากการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกเป็นลำดับขั้นตอนดังนี้
เมื่อโลกแยกตัวจากดวงอาทิตย์ มีสภาพเป็นกลุ่มก๊าซร้อน ต่อมาเย็นตัวลงเป็นของเหลวร้อน
แต่เนื่องจากบริเวณผิวเย็นตัวลงได้เร็วกว่า จึงแข็งตัวก่อน
ส่วนกลางของโลกยังคงประกอบด้วยของธาตุหนักหลอมเหลว ในทางธรณีวิทยา
ได้แบ่งโครงสร้างของโลกออกเป็น ๓ ส่วนใหญ่ๆ เรียกว่า เปลือกโลก (crust) เนื้อโลก (mantle) และแก่นโลก (core) เปลือกโลกเป็นส่วนที่เป็นของแข็งและเปราะ
ห่อหุ้มอยู่ชั้นนอกสุดของโลก จนถึงระดับความลึกประมาณ ๕๐ กิโลเมตร
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ธรณีภาคชั้นนอก หรือลิโทสเฟียร์ (Lithosphere) ใต้ชั้นนี้ลงไปเป็นส่วนบนสุดของชั้นเนื้อโลก เรียกว่า ฐานธรณีภาค
หรือแอสเทโนสเฟียร์ (asthenosphere) มีลักษณะเป็นหินละลายหลอมเหลวที่เรียกว่า
หินหนืด (magma) มีความอ่อนตัวและยืดหยุ่นได้
อยู่ลึกจากผิวโลกลงไป ๑๐๐ – ๓๕๐ กิโลเมตร
ใต้จากฐานธรณีภาคลงไป ยังคงเป็นส่วนที่เป็นเนื้อโลกอยู่
จนกระทั่งถึงระดับความลึกประมาณ ๒,๙๐๐ กิโลเมตรจากผิวโลก
จึงเปลี่ยนเป็นชั้นแก่นโลก ซึ่งแบ่งเป็น ๒ ชั้นย่อย คือ แก่นโลกชั้นนอก
และแก่นโลกชั้นใน โดยแก่นโลกชั้นในนั้น จะอยู่ลึกสุดจนถึงจุดศูนย์กลางของโลก
ที่ระดับความลึก ๖,๓๗๐ กิโลเมตร จากผิวโลก
การเกิดแผ่นดินไหวนั้น
ส่วนใหญ่จำกัดอยู่เฉพาะที่ชั้นของเปลือกโลก
โดยที่เปลือกโลกไม่ได้เป็นชิ้นเดียวกันทั้งหมด เนื่องจากว่าเมื่อของเหลวที่ร้อนจัด
ปะทะชั้นแผ่นเปลือกโลก ก็จะดันตัวออกมา แนวรอยแยกของแผ่นเปลือกโลก
จึงเป็นแนวที่เปราะบาง และเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว และภูเขาไฟระเบิดมาก
จากการบันทึกประวัติปรากฏการณ์แผ่นดินไหว ทำให้สามารถประมาณการแบ่งของแผ่นเปลือกโลกได้เป็น
๑๕ แผ่น คือ
– แผ่นยูเรเชีย (Eurasian Plate)
– แผ่นแปซิฟิก (Pacific Plate)
– แผ่นออสเตรเลีย (Australian Plate)
– แผ่นฟิลิปปินส์ (Philippines Plate)
– แผ่นอเมริกาเหนือ (North American Plate)
– แผ่นอเมริกาใต้ (South American Plate)
– แผ่นสโกเชีย (Scotia Plate)
– แผ่นแอฟริกา (African Plate)
– แผ่นแอนตาร์กติก (Antarctic Plate)
– แผ่นนัซกา (Nazca Plate)
– แผ่นโคโคส (Cocos Plate)
– แผ่นแคริบเบียน (Caribbean Plate)
– แผ่นอินเดีย (Indian Plate)
– แผ่นฮวนเดฟูกา (Juan de Fuca Plate)
– แผ่นอาหรับ (Arabian Plate)
– แผ่นยูเรเชีย (Eurasian Plate)
– แผ่นแปซิฟิก (Pacific Plate)
– แผ่นออสเตรเลีย (Australian Plate)
– แผ่นฟิลิปปินส์ (Philippines Plate)
– แผ่นอเมริกาเหนือ (North American Plate)
– แผ่นอเมริกาใต้ (South American Plate)
– แผ่นสโกเชีย (Scotia Plate)
– แผ่นแอฟริกา (African Plate)
– แผ่นแอนตาร์กติก (Antarctic Plate)
– แผ่นนัซกา (Nazca Plate)
– แผ่นโคโคส (Cocos Plate)
– แผ่นแคริบเบียน (Caribbean Plate)
– แผ่นอินเดีย (Indian Plate)
– แผ่นฮวนเดฟูกา (Juan de Fuca Plate)
– แผ่นอาหรับ (Arabian Plate)
แผ่นเปลือกโลกที่กล่าวมาแล้ว ไม่ได้อยู่นิ่ง
แต่มีการเคลื่อนที่ คล้ายการเคลื่อนย้ายวัตถุบนสายพานลำเลียงสิ่งของ
จากผลการสำรวจท้องมหาสมุทรในช่วงทศวรรษ ๒๔๙๐ พบว่า มีแนวสันเขากลางมหาสมุทรรอบโลก
(Global Mid Ocean Ridge) ซึ่งมีความยาวกว่า
๕๐,๐๐๐ กิโลเมตร กว้างกว่า ๘๐๐ กิโลเมตร
จากการศึกษาทางด้านธรณีวิทยา พบว่า หินบริเวณสันเขาเป็นหินใหม่
มีอายุน้อยกว่าหินที่อยู่ในแนวถัดออกมา จึงได้มีการตั้งทฤษฎีว่า
แนวสันเขากลางมหาสมุทรนี้คือ รอยแตกกึ่งกลางมหาสมุทร
รอยแตกนี้เป็นรอยแตกของแผ่นเปลือกโลก ซึ่งถูกแรงดันจากหินหนืดภายในเปลือกโลก
ดันออกจากกันทีละน้อย รอยแยกของแผ่นเปลือกโลกที่กล่าวมาแล้ว
ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกต่างๆ
3. ทฤษฎีเปลือกโลกใต้มหาสมุทรแยกตัว
(Sea Floor Spreading Theory)
จากปรากฎการณ์การแตกตัวและแยกออกจากกันของแผ่นเปลือกโลกภาคพื้นทวีปและใต้มหาสมุทรสัมพันธ์กับการเคลื่อนไหว
การเกิดหมู่เกาะภูเขาไฟ การเกิดแนวเทือกเขากลางมหาสมุทร การขยายตัว
และการเกิดใหม่ของมหาสมุทร
ทำให้เกิดสมมติฐานและกลายเป็นทฤษฎีนี้ขึ้นเพื่ออธิบายปรากฎการณ์ต่าง ๆ เหล่านั้นและการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกต่าง
ๆ
ขอบเขตและการกระจายตัวของแผ่นเปลือกโลก
4. ทฤษฎีการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก(plate
Tectonic Theory)
เกิดจากการนำทฤษฎีทวีปเลื่อนและทวีปแยกมารวมกันตั้งเป็นทฤษฎีใหม่ขึ้นมาโดยกล่าวไว้ว่าเปลือกโลกทั้งหมดแบ่งออกเป็นแผ่นที่สำคัญ
จำนวน 13 แผ่น
โดยแต่ละแผ่นจะมีขอบเขตเฉพาะได้แก่ แผ่นอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ยูเรเซีย แอฟริกา
อินเดีย แปซิฟิก แอนตาร์กติก ฟิลิปปินส์ อาหรับ สกอเทีย โกโก้ แคริเบียน และนาซก้า
แผ่นเปลือกโลกทั้งหมดไม่หยุดหนิ่งอยู่กับที่จะมีการเ เคลื่อนที่ตลอดเวลาใน 3
แบบ ได้แก่การเคลื่อนที่เข้าหากัน แยกออกจากกัน
และไถลตัวขนานออกจากกันซึ่งผลของการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกทำให้เกิดปรากฎการณ์ต่าง
ๆ ขึ้น เช่น แผ่นดินไหว เทีอกเขา ภูเขาไฟ และกระบวนการเกิดแร่และหิน
ลักษณะการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก
1) รอยต่อที่แผ่นเปลือกโลกจะแยกจากกัน
(Divergent Boundary) เมื่อแมกม่าในชั้นแอสทีโนสเฟียร์ดันตัวขึ้น ทำให้เพลตจะขยายตัวออกจากกัน
เกิดขึ้นตรงรอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลก 2 แผ่น
ที่อยู่ใต้มหาสมุทรมากกว่าบนทวีป
แนวเพลตแยกจากกันส่วนมากเกิดขึ้นในบริเวณสันกลางมหาสมุทร เช่น
รอยต่อของแผ่นอเมริกากับแผ่นยูเรเซียน ที่เทือกเขาที่มีการแยกตัว (Spreading
Ridge) หรือรอยต่อที่แยกออกจากกัน
จะเกิดแผ่นดินไหวที่ระดับตื้นตามแนวแกนการแยกตัวเท่านั้น และเกิดกลไกการแยกตัวขึ้น
แผ่นดินไหวที่เกิดจากลักษณะการแยกตัวมักจะมีขนาดต่ำกว่า 8 ริกเตอร์
2) รอยต่อที่แผ่นเปลือกโลกจะเคลื่อนที่ชนกันและเกยกัน
(Convergent Boundary)มี 3 แบบ คือ
2.1) แผ่นเปลือกโลกใต้มหาสมุทร 2 แผ่นมาชนกัน (Collision) โดยขอบแผ่นเปลือกโลกในแต่ละแนวที่มีความหนาแน่นสูงกว่าจะสอดมุดตัว (Subduction Zones) ลงไปใต้อีกแผ่นเปลือกโลกอีกแผ่นหนึ่งจนถึงชั้นแมนเทิล มีการเลื่อน ขบ กดและดัน ซึ่งกันและกัน ยังผลให้มีการปรับตัวตลอดเวลา จากนั้นจะหลอมละลายกลายเป็นหินหลอมละลายที่มีการสะสมพลังงานแรงดันมหาศาลภายในดันตัวควบคู่กันไปขึ้นมาตามชั้นหินของเปลือกโลก หากพลังงานนั้นสูงมากจนถึงระตับก็จะมีการปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปการเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งในส่วนที่ไม่แข็งแรงที่อยู่ด้านบนเกิดเป็นปล่องภูเขาไฟ และแนวตามขอบแผ่นเปลือกโลกเป็นร่องลึกทางยาวที่เรียกว่า Trench
2.1) แผ่นเปลือกโลกใต้มหาสมุทร 2 แผ่นมาชนกัน (Collision) โดยขอบแผ่นเปลือกโลกในแต่ละแนวที่มีความหนาแน่นสูงกว่าจะสอดมุดตัว (Subduction Zones) ลงไปใต้อีกแผ่นเปลือกโลกอีกแผ่นหนึ่งจนถึงชั้นแมนเทิล มีการเลื่อน ขบ กดและดัน ซึ่งกันและกัน ยังผลให้มีการปรับตัวตลอดเวลา จากนั้นจะหลอมละลายกลายเป็นหินหลอมละลายที่มีการสะสมพลังงานแรงดันมหาศาลภายในดันตัวควบคู่กันไปขึ้นมาตามชั้นหินของเปลือกโลก หากพลังงานนั้นสูงมากจนถึงระตับก็จะมีการปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปการเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งในส่วนที่ไม่แข็งแรงที่อยู่ด้านบนเกิดเป็นปล่องภูเขาไฟ และแนวตามขอบแผ่นเปลือกโลกเป็นร่องลึกทางยาวที่เรียกว่า Trench
2.2) แผ่นเปลือกโลกใต้มหาสมุทรชนกับแผ่นทวีป แผ่นมหาสมุทรที่หนักกว่าจะมุดลงใต้แผ่นทวีปและหลอมละลายกลายเป็นหินหลอมละลายและถูกดันออกมาตามรอยแยกในชั้นหินของแผ่นทวีป
เกิดเป็นแนวภูเขาไฟ
2.3) แผ่นทวีปชนกับแผ่นทวีป (Plates ทำให้เพลตที่มีความหนาแน่นน้อยกว่าเกิดการโก่งตัวเกยสูงขึ้นกลายเป็นเทือกเขา
เช่นเทือกเขาหิมาลัย เกิดจากการชนกันของเพลตอินเดียและเพลตเอเชีย เทือกเขาแอลป์ (Alps)
ในทวีปยุโรป เทือกเขาร็อกกี้ (Rocky) และเทือกเขาแอปปาเลเชียน
(Appalachian) ในทวีปอเมริกาเหนือ
เกิดจากการชนกันของเพลตอเมริกาเหนือกับเพลตแอฟริกา
และเทือกเขาภูพานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย
แผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นได้หลายตำแหน่งตั้งแต่ใกล้ผิวโลกไปจนถึงความลึกหลายร้อยกิโลเมตร
เนื่องจากแผ่นเปลือกโลกที่มุดตัวลงไปมีความเย็นจนทำให้เกิดการเปราะแตกออกได้ที่ความลึกถึง
700 กิโลเมตร
รอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลกที่เคลื่อนที่เข้าหากันเป็นตำแหน่งที่เกิดแผ่นดินไหวที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เหตุการณ์บางครั้งที่เกิดขึ้นที่บริเวณแผ่นเปลือกโลกมุดตัวที่
อลาสกาและชิลีทำให้แผ่นดินไหวมีขนาดมากกว่า 9 ริกเตอร์
3) รอยต่อที่แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่สวนกัน
(Transform Boundary) เมื่อแผ่นเปลือกโลก 2 แผ่นเคลื่อนที่สวนกัน
ทำให้เกิดเป็นรอยเลื่อนขนาดใหญ่ขึ้น มักเกิดขึ้นในบริเวณเทือกเขากลางมหาสมุทร
แต่บางครั้งก็เกิดขึ้นบริเวณชายฝั่ง
หากเปลือกโลกเคลื่อนที่กระทบกันอย่างรุนแรงจะทำให้เกิดการสั่นสะเทือน
และเกิดแผ่นดินไหวได้ เช่น
รอยเลื่อน San
Andrea’s ที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวในรัฐแคลิฟอร์เนีย
ประเทศสหรัฐอเมริกา คือ ตัวอย่างของการเคลื่อนที่ผ่านกัน แยกแผ่นเปลือกโลก Pacific
ออกจากแผ่นเปลือกโลก North America ในขณะที่เคลื่อนผ่านกัน
แผ่นเปลือกโลกส่วนใหญ่จะเลื่อนผ่านกันทางด้านข้าง
ทำให้เกิดการทรุดตัวและยกตัวของพื้นดินน้อยกว่าการเคลื่อนที่ออกจากกันหรือเข้าหากัน
จุดสีเหลืองข้างล่างแสดงตำแหน่งที่เกิดแผ่นดินไหวตามขอบของระบบรอยเลื่อนนี้ที่บริเวณอ่าวซานฟรานซีสโก
นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามศึกษา และรวบรวมข้อมูล
เพื่อสรุปเป็นทฤษฎี อธิบายสาเหตุการเกิดของแผ่นดินไหว
ในปัจจุบันทฤษฎีการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก (Plate Tectonics Theory) ได้รับการยอมรับมากที่สุด
ทฤษฎีนี้พัฒนามาจากทฤษฎี ว่าด้วยทวีปเลื่อน (Theory of Continental Drift) ของอัลเฟรด โลทาร์ เวเกเนอร์ (Alfred Lothar Wegener พ.ศ. ๒๔๒๓ – ๒๔๗๓ นักวิทยาศาสตร์ ชาวเยอรมัน)
ซึ่งเสนอไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๕ ต่อมา แฮร์รี แฮมมอนด์ เฮสส์ (Harry Hammond
Hess พ.ศ. ๒๔๔๙ – ๒๕๑๒ นักธรณีวิทยา
ชาวอเมริกัน) ได้เสนอแนวคิด ที่พัฒนาใหม่นี้ในทศวรรษ ๒๕๐๐
ทฤษฎีการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก
ได้อธิบายว่า ปรากฏการณ์แผ่นดินไหว
เกิดจากการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกเป็นลำดับขั้นตอนดังนี้ เมื่อโลกแยกตัวจากดวงอาทิตย์
มีสภาพเป็นกลุ่มก๊าซร้อน ต่อมาเย็นตัวลงเป็นของเหลวร้อน
แต่เนื่องจากบริเวณผิวเย็นตัวลงได้เร็วกว่า จึงแข็งตัวก่อน
ส่วนกลางของโลกยังคงประกอบด้วยของธาตุหนักหลอมเหลว ในทางธรณีวิทยา
ได้แบ่งโครงสร้างของโลกออกเป็น ๓ ส่วนใหญ่ๆ เรียกว่า เปลือกโลก (crust) เนื้อโลก (mantle) และแก่นโลก (core) เปลือกโลกเป็นส่วนที่เป็นของแข็งและเปราะ
ห่อหุ้มอยู่ชั้นนอกสุดของโลก จนถึงระดับความลึกประมาณ ๕๐ กิโลเมตร
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ธรณีภาคชั้นนอก หรือลิโทสเฟียร์ (Lithosphere) ใต้ชั้นนี้ลงไปเป็นส่วนบนสุดของชั้นเนื้อโลก เรียกว่า ฐานธรณีภาค
หรือแอสเทโนสเฟียร์ (asthenosphere) มีลักษณะเป็นหินละลายหลอมเหลวที่เรียกว่า
หินหนืด (magma) มีความอ่อนตัวและยืดหยุ่นได้
อยู่ลึกจากผิวโลกลงไป ๑๐๐ – ๓๕๐ กิโลเมตร
ใต้จากฐานธรณีภาคลงไป ยังคงเป็นส่วนที่เป็นเนื้อโลกอยู่
จนกระทั่งถึงระดับความลึกประมาณ ๒,๙๐๐ กิโลเมตรจากผิวโลก
จึงเปลี่ยนเป็นชั้นแก่นโลก ซึ่งแบ่งเป็น ๒ ชั้นย่อย คือ แก่นโลกชั้นนอก
และแก่นโลกชั้นใน โดยแก่นโลกชั้นในนั้น จะอยู่ลึกสุดจนถึงจุดศูนย์กลางของโลก
ที่ระดับความลึก ๖,๓๗๐ กิโลเมตร จากผิวโลก
การเกิดแผ่นดินไหวนั้น
ส่วนใหญ่จำกัดอยู่เฉพาะที่ชั้นของเปลือกโลก
โดยที่เปลือกโลกไม่ได้เป็นชิ้นเดียวกันทั้งหมด เนื่องจากว่าเมื่อของเหลวที่ร้อนจัด
ปะทะชั้นแผ่นเปลือกโลก ก็จะดันตัวออกมา แนวรอยแยกของแผ่นเปลือกโลก
จึงเป็นแนวที่เปราะบาง และเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว และภูเขาไฟระเบิดมาก
จากการบันทึกประวัติปรากฏการณ์แผ่นดินไหว
ทำให้สามารถประมาณการแบ่งของแผ่นเปลือกโลกได้เป็น ๑๕ แผ่น คือ
– แผ่นยูเรเชีย (Eurasian Plate)
– แผ่นแปซิฟิก (Pacific Plate)
– แผ่นออสเตรเลีย (Australian Plate)
– แผ่นฟิลิปปินส์ (Philippines Plate)
– แผ่นอเมริกาเหนือ (North American Plate)
– แผ่นอเมริกาใต้ (South American Plate)
– แผ่นสโกเชีย (Scotia Plate)
– แผ่นแอฟริกา (African Plate)
– แผ่นแอนตาร์กติก (Antarctic Plate)
– แผ่นนัซกา (Nazca Plate)
– แผ่นโคโคส (Cocos Plate)
– แผ่นแคริบเบียน (Caribbean Plate)
– แผ่นอินเดีย (Indian Plate)
– แผ่นฮวนเดฟูกา (Juan de Fuca Plate)
– แผ่นอาหรับ (Arabian Plate)
– แผ่นยูเรเชีย (Eurasian Plate)
– แผ่นแปซิฟิก (Pacific Plate)
– แผ่นออสเตรเลีย (Australian Plate)
– แผ่นฟิลิปปินส์ (Philippines Plate)
– แผ่นอเมริกาเหนือ (North American Plate)
– แผ่นอเมริกาใต้ (South American Plate)
– แผ่นสโกเชีย (Scotia Plate)
– แผ่นแอฟริกา (African Plate)
– แผ่นแอนตาร์กติก (Antarctic Plate)
– แผ่นนัซกา (Nazca Plate)
– แผ่นโคโคส (Cocos Plate)
– แผ่นแคริบเบียน (Caribbean Plate)
– แผ่นอินเดีย (Indian Plate)
– แผ่นฮวนเดฟูกา (Juan de Fuca Plate)
– แผ่นอาหรับ (Arabian Plate)
แผ่นเปลือกโลกที่กล่าวมาแล้ว ไม่ได้อยู่นิ่ง
แต่มีการเคลื่อนที่ คล้ายการเคลื่อนย้ายวัตถุบนสายพานลำเลียงสิ่งของ
จากผลการสำรวจท้องมหาสมุทรในช่วงทศวรรษ ๒๔๙๐ พบว่า มีแนวสันเขากลางมหาสมุทรรอบโลก
(Global Mid Ocean Ridge) ซึ่งมีความยาวกว่า
๕๐,๐๐๐ กิโลเมตร กว้างกว่า ๘๐๐ กิโลเมตร
จากการศึกษาทางด้านธรณีวิทยา พบว่า หินบริเวณสันเขาเป็นหินใหม่
มีอายุน้อยกว่าหินที่อยู่ในแนวถัดออกมา จึงได้มีการตั้งทฤษฎีว่า
แนวสันเขากลางมหาสมุทรนี้คือ รอยแตกกึ่งกลางมหาสมุทร รอยแตกนี้เป็นรอยแตกของแผ่นเปลือกโลก
ซึ่งถูกแรงดันจากหินหนืดภายในเปลือกโลก ดันออกจากกันทีละน้อย
รอยแยกของแผ่นเปลือกโลกที่กล่าวมาแล้ว
ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกต่างๆ
การเคลื่อนที่ของอนุทวีปไทย
เมื่อ465ล้านปีก่อนดินแดนประเทศไทยยัง แยกตัวอยู่ใน 2 อนุทวีปฉานไทย(ส่วนของภาคเหนือลงไปถึงภาคตะวันออกและภาคใต้) และอนุทวีปอินโดจีน (ส่วนของภาคอิสาน) อนุทวีปทั้งสองขณะนั้นยังเป็นส่วนหนึ่งของผืนดินกานด์วานา (ดัดแปลงจาก Burrett et al,1990,Metcafe,1997)
ต่อมาประมาณ 400-300 ล้านปีก่อนดินแดนประเทศไทยทั้งส่วนอนุทวีปฉานไทยและอนุทวีปอินโดจีน ได้เคลื่อนที่แยกตัวออกจากผืนแผ่นดินกอนด์วานา แล้วหมุนตัวตามเข็มนาฬิกาขึ้นไปทางเหนือ (ดัดแปลงจาก Bunopas,1981,Burrett,1990,Metcafe,1997)
เมื่อประมาณ 220 ล้านปีก่อนอนุทวีปฉานไทยได้ชนกับอนุทวีปอินโดจีนรวมกันเป็นอนุทวีปที่เป็นปัจจุบันเรียกว่าคาบสมุทรมลายูแล้วไปรวมกับจีนตอนใต้รวมกันเป็นส่วนหนึ่งของทวีปเอเชีย (ดัดแปลงจาก Bunopas,1981,Meteafe,1997)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น