บทที่2
กำหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ (Sitting Learning Goals)
กำหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ ผู้เรียนต้องระบุจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ (goals) ด้วยการระบุความรู้และการปฏิบัติ โดยการระบุความรู้ในรูปของสารสนเทศ (declarative knowledge) และระบุทักษะ การปฏิบัติหรือกระบวนการ (procedural knowledge) จุดหมายการเรียนรู้ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยจำนวนของบทเรียน ปริมาณเนื้อหาสาระหรือความรู้สูงสุด แต่หมายถึงความคาดหวังที่จะเรียนรู้ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งและเจตนาที่จะให้ผู้เรียนแสดงถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้
จุดหมายการเรียนรู้
จุดมุ่งหมายการเรียนรู้ (learning goals) ความปรารถนาอยากเรียนรู้ ความปรารถนาอาจมาจากบุคคล ประสบการณ์ สถานการณ์พอเศษหรืออื่นๆ David Henry Felman (อ้างถึงในอารี สัณหฉวี 2546 : 140) อารี สัณหฉวี ผู้แปล ความเก่ง 7 ชนิด ค้นหาและพัฒนาพหุปัญญาในตน กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.) ศาสตร์ตราจารย์สาขาจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยทัฟต์ เรียก สิ่งที่จุดประกายความปรารถนาที่จะเรียนรู้นี้ว่าประสบการณ์ตกผลึก (crystallizing experiences) ประสบการณ์ประทับใจหรือประสบการณ์ตกผลึกนี้ก็จะต้องมีการพัฒนาฟูมฟัก Alfred North Whitehead (อ้างถึงในอารี สัณหฉวี 2546 : 141) กล่าวว่าในการพัฒนาฟูมฟักมี 3 ขั้น เรียกว่า จังหวะของการศึกษา (rhythm of education) ขั้นที่หนึ่ง คือ ระยะหลงรัก (romance) ระยะนี้เป็นความรื่นเริง มีชีวิตชีวาที่จะเรียนรู้ ขั้นที่สอง คือ ระยะของความแม่นยำ (precision) ระยะนี้จะต้องศึกษาฝึกหัดฝึกซ้อมให้ถูกต้องแม่นยำและขั้นที่สาม คือ ระยะของความคล่องแคล่วสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตได้ (generalization) การกำหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้เป็นแนวทางหนึ่งในการพัฒนาปัญญา ซึ่งอาจวางแผนเพื่อพัฒนาปัญญาด้านใดด้านหนึ่งมาศึกษาและฝึกหัด ในการวางแผนพัฒนาปัญญานี้ผู้ที่ถนัดด้านมิติอาจทำเป็นเส้นเวลาหรือรูปภาพ ผู้ที่ถนัดด้าน มนุษยสัมพันธ์อาจจะเล่าเรื่องให้เพื่อนสนิทฟัง เป็นต้น
จุดมุ่งหมายการศึกษาของบลูม
Bloom และคณะ (1956) ได้จัดกลุ่มการเรียนรู้ออกเป็นสามประเภท คือ ด้านพุทธพิสัย ด้านทักษะพิสัย และด้านจิตพิสัย พุทธพิสัยรวมถึงการเรียนรู้และการประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะพิสัยรวมถึงการพัฒนาเสรีทางกายและทักษะที่ต้องการใช้กล้ามเนื้อสัมพันธ์กับประสาท จิตพิสัยเกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งเจตคติ ความซาบซึ้งและค่านิยม การเรียนรู้ทั้งสามประการนี้ควรได้รับการพิจารณาในการวางแผนผลที่ได้รับจากการเรียนรู้ที่ได้จาการเรียนการสอน ในการที่จะประสบความสำเร็จตามจุดหมายของการศึกษา ขอบเขตการเรียนรู้ทั้งสามนี้ต้องได้รับการบูรณาการเข้าไว้ในทุกลักษณะของการเรียนการสอน และการพัฒนาหลักสูตรซึ่งจะทำให้ผู้เรียนกลายเป็นจุดโฟกัสของกระบวนการเรียนการสอนการเรียนรู้ ดังภาพประกอบที่ 3
ภาพประกอบที่ 3 บูรณาการของพุทธพิสัย ทักษะพิสัย และจิตพิสัย
อนุกรมวิธาน เป็นระบบของการแยกแยะบางสิ่งบางอย่าง ดังนั้น อนุกรมวิธานของการศึกษาจึงแยกแยะพฤติกรรมที่นักเรียนสามารถคาดหวังที่จะทำให้ได้ภายหลังจากที่ได้เรียนรู้แล้ว อนุกรมวิธานเป็นที่รู้จักกันมากที่สุด คือ อนุกรมวิธานด้านพุทธพิสัยของบลูมและคณะ
พุทธิพิสัย รวมถึงความรู้ ความเข้าใจ การนำไปประยุกต์ใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์และการประเมินค่า พุทธพิสัยแต่ละประเภทในอนุกรมวิธานประกอบด้วยองค์ประกอบบางประการของประเภทความรู้ที่ต้องมาก่อนอนุกรมวิธานนี้มีประโยชน์สำหรับการออกแบบหลักสูตรและการสร้างแบบทดสอบ
ตารางที่1 อนุกรมวิธานทางปัญญาของบลูม
ระดับพฤติกรรม
|
นิยาม
|
1. ความรู้
|
เกี่ยวข้องกับความจำและการระลึกได้ของข้อความจริงเฉพาะคำต่างๆ
สัญลักษณ์ วันที่ สถานที่ ฯลฯ
กฎ แนวโน้ม ประเภท วิธีการ ฯลฯ
หลักการ ทฤษฎี วิธีการจัดการแนวคิด
|
2. ความเข้าใจ
|
เกี่ยวข้องกับความสามารถที่จะใช้ การเรียนรู้ แปลความ สรุปความ ตีความ ย่อความ ขยายรายละเอียด ทำนายผล และผลที่ติดตามมา
|
3. การนำไปประยุกต์ใช้
|
เกี่ยวข้องกับความสามารถที่จะใช้ในการเรียนรู้ที่หลากหลายสถานการณ์ การใช้หลักการ และทฤษฎีการใช้ความเป็นนามธรรม
|
4. การวิเคราะห์
|
เกี่ยวข้องกับการแตกส่วนใหญ่ให้เป็นส่วนย่อยระบุหรือแยกส่วนขององค์ประกอบค้นพบปฏิสัมพันธ์หรือความสัมพันธ์ระหว่างส่วนย่อยเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของหลักการ
|
5. การสังเคราะห์
|
เกี่ยวข้องกับการผสมผสานองค์ประกอบเข้าด้วยกันเป็นสิ่งใหม่ระบุหรือเชื่อมโยงองค์ประกอบต่างๆเข้าด้วยกันเป็นการใหม่ๆ จัดการผสมผสานส่วนย่อยต่างๆเข้าด้วยกันสร้างสิ่งใหม่ขึ้น
|
6. การประเมินค่า
|
เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคุณค่าของวัตถุและวิธีการ พิจารณาในรูปของมาตรฐานภายใน พิจารณาในรูปของมาตรฐานภายนอก
|
ตารางที่ 2 อนุกรมวิธานทางเจตคติของบลูม
ระดับพฤติกรรม
|
นิยาม
|
1. การรับรู้
|
เกี่ยวข้องกับความตั้งใจทางอ้อมที่มีต่อสิ่งกระตุ้น การรับรู้ข้อความจริง ความถูกต้อง เหตุการณ์หรือโอกาส ความตั้งใจในการสังเกต หรือความตั้งใจที่มีต่อภาระงาน เลือก
สิ่งกระตุ้น
|
2. การตอบสนอง
|
เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งกระตุ้น การยินยอมตามทิศทาง การอาสาสมัครด้วยตนเอง ความพึ่งพอใจหรือความร่าเริง
|
3. ค่านิยม
|
การให้คุณค่ากับบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวข้องกับการแสดงพฤติกรรมที่สอดคล้อง แสดงถึงความเชื่ออย่างแข็งขันในบางสิ่งบางอย่าง แสดงถึงความชอบมากกว่าในบางสิ่งบางอย่าง แสวงหากิจกรรมเพื่อบางสิ่งบางอย่างข้างหน้า
|
4. การจัดการ
|
เป็นการจัดคุณค่าให้มีระบบ เห็นคุณค่าที่ยึดถือมีความสัมพันธ์กับคุณค่าอื่นๆ ก่อตั้งคุณค่าที่มีลักษณะเด่น เป็นค่านิยมของตนเอง
|
5. คุณลักษณะ
|
เป็นการกระทำที่สอดคล้องกับระบบค่านิยมหรือคุณค่าภายใน การกระทำที่สอดคล้องในทิศทางที่มีความแน่ใจ การพัฒนาปรัชญาชีวิตที่มีความคงเส้นคงวาทั้งหมด
|
ตารางที่ 3 อนุกรมวิธานทางทักษะพิสัย
พฤติกรรมการเรียนรู้
|
นิยาม
|
การเคลื่อนไหวทั่วไป
(Generic movement)
|
ปฏิบัติการเคลื่อนไหวหรือกระบวนการซึ่งให้ความสะดวกต่อการพัฒนาแบบการเคลื่อนไหวของมนุษย์
|
1. การรับรู้
|
การจำท่าการเคลื่อนไหว รูปร่าง แบบและทักษะโดยอวัยวะรับความรู้สึก
|
2. เลียนแบบ
|
เลียนแบบ แบบการเคลื่อนไหวหรือทักษะมนเชิงของผลที่ได้รับจากการเรียนรู้
|
3. สร้างแบบ
|
จัดและใช้ทุกส่วนของร่างกายในทิศทางที่ผสมกลมกลืน เพื่อให้ประสบความสำเร็จในแบบการเคลื่อนไหวหรือทักษะ
|
การเคลื่อนไหวตามปกติ
(Ordinary movement)
|
การพบกับข้อกำหนดของภาระงานการเคลื่อนไหว ผ่านกระบวนการของการจัดการการแสดงออกและการแก้ไขแบบการเคลื่อนไหวและทักษะ
|
1. กรปรับตัว
|
ปรับแบบการเคลื่อนไหวหรือทักษะ เพื่อให้พบภาระงานเฉพาะอย่างที่ (adapting) ต้องการ
|
2. การแก้ไข
|
ความกระตือรือร้นที่จะเคลื่อนไหวอย่างราบเรียบ แบบการเคลื่อนไหวหรือ (refining) ทักษะที่แสดงออกมีประสิทธิภาพในเชิงแห่งผลของกระบวนการปรับปรุง เช่น
1. ขจัดการเคลื่อนไหวที่แทรกซ้อน
2. รอบรู้ถึงความสัมพันธ์ของอวกาศกับจังหวะ
3. การแสดงออกทางนิสัยภายใต้สภาวการณ์ที่ซับซ้อน
|
พฤติกรรมการเรียนรู้
|
นิยาม
|
การเคลื่อนไหวอย่างสร้างสรรค์
(Creative moment)
|
กระบวนการในการประดิษฐ์ หรือสร้างสรรค์การเคลื่อนไหวที่เต็มไปด้วยทักษะซึ่งจะสนองความมุ่งหมายของผู้เรียน
|
1. ความหลากหลาย
|
ประดิษฐ์หรือสร้างทางเลือกในการปฏิบัติแบบการเคลื่อนไหวหรือทักษะ (Varying)
|
2. การดัดแปลง
|
การเริ่มท่าการเคลื่อนไหว การริเริ่มผสมผสานท่าการเคลื่อนไหว ไม่ต้องเตรียมตัว (improvising)
|
3. แต่งท่าการเคลื่อนไหว
|
สร้างสรรค์การออกแบบการเคลื่อนไหว หรือทักษะที่มีคุณค่า (composing)
|
จิตพิสัย การเรียนรู้ทางเจตคติพาดพิงถึงคุณลักษณะของอารมณ์ของการเรียนรู้ เกี่ยวข้องกับว่านักเรียนรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับประสบการณ์การเรียนรู้ รู้สึกอย่างไรกับการเรียนรู้ดับตนเอง และเป็นการพิจารณาความสนใจ ความซาบซึ้ง เจตคติค่านิยมและคุณลักษณะของผู้เรียน
ทักษะพิสัย เกี่ยวข้องกับทางร่างกายหรือทักษะทางประสาทและกล้ามเนื้อสัมพันธ์กันในการเฝ้าดูการเรียนรู้ที่จะเดินก็เกิดความคิดว่ามนุษย์เรียนรู้ทักษะการเคลื่อนไหวอย่างไร เมื่อเด็กได้รับความคิดว่าต้องการอะไร และมีทักษะที่ต้องมีมาก่อน มีความแข็งแรง และวุฒิภาวะและอื่นๆ เด็กจะมีความพยายามหยาบๆ ซึ่งจะค่อยๆ แก้ไขผ่านข้อมูลย้อนกลับมาจากสิ่งแวดล้อม เช่น ธรณีประตู การหกล้ม พรมผู้ปกครอง และสุดท้าย ทักษะการแสดงออกซึ่งมีคุณค่าต่อวัยเด็กตอนต้น
การปรับปรุงจุดมุ่งหมายการศึกษาของบลูม
แอนเดอร์สัน และแครทโฮล (2001) ได้ปรับปรุงจุดม่งหมายการศึกษาของบลูม (Blooms’ Taxonomy revise) ดัวตารางที่ 4
ตารางที่ 4 การเปรียบเทียบ Blooms’ Taxonomy 1956 และ2001
New Version (Blooms’ Taxonomy 2001)
|
Old version (Blooms’ Taxonomy 1956)
|
สร้างสรรค์-Creating
|
ประเมิน-Evaluating
|
ประเมิน-Evaluating
|
การสังเคราะห์-Synthesis
|
วิเคราะห์-Analyzing
|
วิเคราะห์-Analyzing
|
ประยุกต์-Applying
|
การนำไปใช้-Application
|
ความเข้าใจ-Understanding
|
ความเข้าใจ-Understanding
|
ความจำ-Remembering
|
ความรู้-Knowledge
|
Bloom (1956) ใช้คำนามในการอธิบายความรู้ประเภทต่างๆ ในฉบับปรับปรุง ปี 2001 ใช้คำกริยาและปรับเปลี่ยนคำว่าความรู้ (knowledge) เป็น ความจำ (Remembering) เมื่อนำมาเขียนจุดมุ่งหมายการศึกษาของหลักสูตรที่อ้างอิงมาตรฐาน (standards – based curriculum) จะเขียนได้ว่า ผู้เรียนควรรู้และทำอะไรได้ (เป็นกริยา) และได้จัดความรู้เป็น 4 ประเภท ได้แก่ ข้อเท็จจริง (factual) มโนทัศน์ (concept) กระบวนการ (procedural) และอภิปัญญา (meta-cognition) และมีการเปลี่ยนแปลงขั้นพฤติกรรมหลักในกรอบเดิม 2 ขั้น คือ ขั้นความเข้าใจ (comprehension) เปลี่ยนเป็น เข้าใจความหมาย (understand) และขั้นการประเมิน (evaluation) เป็น สร้างสรรค์ (create)
การปรับปรุงอนุกรมวิธานจุดมุ่งหมายทางการศึกษา (Revised’s Blooms’ Taxonomy) ที่กล่าวถึงมิติทางการเรียนรู้ของ Bloom และคณะ (1956) ซึ่งแอนเดอร์สัน และแครทโฮล (Anderson & Karthwohl, 2001) ไดกล่าวถึงรายละเอียดของพฤติกรรมผู้เรียนและผลลัพธ์การเรียนรู้ (Learning Outcome) โดยจำแนกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1) มิติด้านกระบวนการทางปัญญา (Cognitive Dimension Process)
2) มิติด้านความรู้ (Knowledge Dimension) มิติด้านกระบวนการทางปัญญา ได้แก่ การจำ (Remembering) เรียกความรู้จากหน่วยความจำระยะยาว ความเข้าใจ (understanding) ศึกษาความหมายจากข้อมูลที่เรียนรู้ รวมถึงการพูด การเขียนและการสื่อสารด้ายรูปร่าง การประยุกต์ใช้ (Applying) ประยุกต์ขั้นตอน/กระบวนการในงานที่คุ้นเคย วิเคราะห์ (Analyzing) จำแนกองค์ประกอบและหาความสัมพันธ์เพื่อกำหนดโครงสร้างหรือเป้าหมายใหม่ ประเมิน (Evaluating) ตัดสินบนพื้นฐานของเกณฑ์และมาตรฐาน และสร้างสรรค์ (Creating) จัดองค์ประกอบหรือหน้าที่ให้เชื่อมโยงกันไปสู่รูปแบบหรือโครงสร้างใหม่
มิติด้านความรู้ จำแนกระดับความรู้เป็น 4 ระดับ ได้แก่
1) ความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริง (Factual Knowledge) พื้นฐานของผู้เรียนต้องรู้จักหลักการหรือวิธีการแก้ปัญหา
2) ความรู้ที่เป็นมโนทัศน์ (Conceptual Knowledge) ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบพื้นฐานในโครงสร้างทั้งหมดที่จะทำให้สามารถเชื่อมโยงกันได้
3) ความรู้ในการดำเนินการ (Procedural Knowledge) วิธีการสืบค้นและเกณฑ์การใช้ทักษะ เทคนิควิธีการเพื่อดำเนินการ
4) ความรู้อภิปัญญา (Metacognitive Knowledge) ความรู้จากการรับรู้และความเข้าใจในตนเอง
การปรับปรุงอนุกรมวิธานจุดมุ่งหมายทางการศึกษานี้ได้กล่าวถึงอภิปัญญา (Metacognitive Knowledge) เป็นมิติหนึ่งของความรู้ คือ การมีความรู้ที่มีการเกี่ยวข้องกับความรู้ทางปัญญา โดยทั่วไปรู้ถึงความรู้ในตนเอง ซึ่งมิติใหม่ทางการศึกษานี้มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้ระดับอภิปัญญา (Metacognitive Knowledge) ตระหนักรู้ในตนเอง (Meta awareness) การไตร่ตรองย้อนคิดในตนเอง (Self-reflect) และการกำกับดูแลตนเอง (Self-regulation)
เขียนตารางแสดงความสัมพันธ์ของมิติกระบวนการทางปัญญา (Cognitive Dimension Process) และมิติด้านความรู้ (Knowledge Dimension) ได้ดังนี้
ตารางที่ 5 ความสัมพันธ์ของมิติด้านกระวนการทางปัญญากับมิติด้านความรู้
Cognitive Process
| ||||||
The Knowledge Dimension
|
1
Remember
|
2
Understand
|
3
Apply
|
4
Analyze
|
5
Evaluate
|
6
Create
|
Factual
| ||||||
Conceptual
| ||||||
Procedural
| ||||||
Metacognitive
|
ที่มา : ปรับจาก Anderson, L.W. Krathwohl, D.R., et al (Eds.) (2001)
Anderson & Krathwohl (2001) นำเสนอรูปแบบของอภิปัญญาแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ความรู้ทางปัญญา (Knowledge of Cognition) และกระบวนการในการดูแล ควบคุม กำกับ ติดตามตนเอง โดยแบ่งเป็นอภิปัญญาความรู้ (Metacognitive Knowledge) และอภิปัญญาในการควบคุมตนเอง (Metacognitive Control) และความรู้เกี่ยวกับอภิปัญญาแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1.ความรู้ในกลยุทธ์วิธีการเรียนรู้ (Strategic knowledge) คือ ความรู้ในกลยุทธ์วิธี การเรียนรู้ การคิดการแก้ไขปัญหาในทุกกลุ่มวิชา
2.ความรู้ในการเลือกใช้กลยุทธ์และวิธีการเรียนรู้ (Knowledge about Cognitive tasks) คือการเลือกกลยุทธ์ ยุทธวิธีที่เหมาะสมกับภาระชิ้นงาน หรือปัญหาที่เกิดขึ้นในสภาพที่แตกต่างกัน
3.การรู้ในตนเอง (Self- Knowledge) คือการรู้ถึงความรู้ ความสามารถของตน การประเมินตนเองทั้งจุดแข็งและจุดที่ควรพัฒนา และควรพัฒนาตนเองอย่างไรเพื่อให้บรรลุภาระชิ้นงานหรือมีความรู้ที่เพียงพอในการแก้ไขปัญหานั้นๆ
จุดมุ่งหมายของการศึกษาของมาร์ซาโน
Marzano & Kendall, (2007) ได้พัฒนาการจัดกลุ่มกิจกรรมการเรียนรู้ขึ้นใหม่ แบ่งเป็น 1) ระบบปัญญา (Cognitive System) 2) ระบบอภิปัญญา (Metacognitive System) และ 3) ระบบตนเอง (Self System) และได้จำแนกอนุกรมวิธานจุดมุ่งหมายทางการศึกษาเป็น 6 ขั้น
ขั้นที่ 1 การดึงกลับคืนมา ( Retrieval) ได้แก่ การระบุข้อความได้ (Recognizing) การระลึกได้ (Recalling) และการลงมือปฏิบัติได้ (Executing)
ขั้นที่ 2 ความเข้าใจ (Comprehension) ได้แก่ การบูรณาการ (Integration) และการทำให้เป็นสัญลักษณ์ (Symbolizing)
ขั้นที่ 3 การวิเคราะห์ (Analysis) ได้แก่ การจับคู่ได้ (Matching) แยกประเภทได้ (Classifying) วิเคราะห์ความผิดพลาดได้ (Analyzing Error) ติดตามได้ (Generalizing) และชี้ให้จำเพาะเจาะจงได้ (Specifying)
ขั้นที่ 4 การนำความรู้ไปใช้ (Knowledge Utilizing) ได้แก่ การตัดสินใจ (Decision Making) การแก้ปัญหา (Problem Solving) การทดลองปฏิบัติ (Experimenting) และการสืบค้นต่อไปให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้ง (Investigating)
ขั้นที่ 5 อภิปัญญา (Meta-cognition) ได้แก่การระบุจุดหมาย (Specifying Goals) การกำกับติดจามกระบวนการ (Process Monitoring) การทำให้เกิดความชัดเจนในการกำกับติดตาม (Monitoring Clarity) และการกำกับติดตามตรวจสอบความถูกต้องชัดเจน (Monitoring Accuracy)
ขั้นที่ 6 การมีระบบความคิดของตนเอง (Self-System Thinking) ได้แก่ การตรวจสอบประสิทธิภาพ (Examining Efficacy) การตรวจสอบการตอบสนองทางอารมณ์ (Examining Emotional Response) และการตรวจสอบแรงจูงใจ (Examining Motivation)
Marzano, (2000) ได้นำเสนอมิติใหม่ทางการศึกษา ดังนี้
ตารางที่ 6 มิติใหม่ทางการศึกษา ระบบตนเอง
ระบบตนเอง (Self-System)
| ||
ความเชื่อเกี่ยวกับความสำคัญของความรู้ (Biliefs About the Importance of Knowledge)
|
ความเชื่อเกี่ยวกับประสิทธิภาพ (Biliefs About Efficacy)
|
อารมณ์ความรู้สึกที่เกี่ยวพันกับความรู้ (Emotions Associated with Knowledge)
|
ตารางที่ 7 มิติใหม่ทางการศึกษา ระบบอภิปัญญา
ระบบอภิปัญญา (Meta-cognitive System)
| |||
การบ่งชี้จุดหมาย (Specifying Learning Goals)
|
การเฝ้าระวังในกระบวนการ/การนำความรู้ไปใช้ (Monitoring the Execution Knowledge)
|
การทำให้เกิดความชัดเจน (Monitoring Clarity)
|
การตรวจสอบความถูกต้อง (Monitoring Accuracy)
|
ตารางที่ 8 มิติใหม่ทางการศึกษา ระบบปัญญา
ระบบปัญญา (Cognitive System)
| |||
การเรียกใช้ความรู้ (Knowledge Retrieval)
|
ความเข้าใจ
(Comprehension)
|
การวิเคราะห์
(Analysis)
|
การนำความรู้ไปใช้
(Knowledge Utilizing)
|
การระลึกได้ (Recalling)
การลงมือปฏิบัติได้
(Executing)
|
การสังเคราะห์ (Synthesis)
การกำหนดสัญลักษณ์/การเป็นตัวแทน (Representation)
|
การจับคู่ได้ (Matching)
แยกประเภทได้ (Classifying)
วิเคราะห์ความผิดพลาดได้ (Analysis Error)
การกำหนดเป็นเกณฑ์ทั่วไป (Generalizing)
การกำหนดเฉพาะเจาะจงได้ (Specifying)
|
การตัดสินใจ (Decision Making) การแก้ปัญหา (Problem Solving) การทดลองปฏิบัติ (Experimenting) การสืบค้นคว้าต่อไปให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้ง (Investigating)
|
ขอบเขตความรู้ (Knowledge Domain)
ข้อมูล
(Information)
|
ขั้นการคิดวิธีดำเนินงาน
(Mental Procedures)
|
ขั้นการลงมือทำ
(Physical Procedures)
| |
การเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning)
|
หมายถึง การจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีโอกาสในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในการส่งเสริม สนับสนุนการเรียนรู้
| ||
ให้คำแนะนำ, ใช้คำถามและมโนทัศน์ล่วงหน้า
(Cues, Questions and Advance Organizes)
|
คือ ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถจดจำ ใช้ และจัดการกับความรู้ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่จะศึกษา
| ||
การแสดงออกโดยภาษากาย
(Nonlinguistic Representation)
|
หมายถึง การส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถนำเสนอและให้รายละเอียดในการแสดงถึงความรู้
| ||
สรุปความละจดบันทึก
(Summarizing and Note taking)
|
หมายถึง การส่งเสริมให้ผู้เรียนวิเคราะห์ข้อมูลและจัดการกับข้อมูล โดยการสรุปสาระสำคัญ และข้อมูลสนับสนุน
| ||
ข้อมูล
(Information)
|
ขั้นการคิดวิธีดำเนินงาน
(Mental Procedures)
|
ขั้นการลงมือทำ
(Physical Procedures)
| |
มอบหมายงานและให้ปฏิบัติ
(Assigning Homework and Providing Practice)
|
หมายถึง การให้โอกาสผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติ, ทบทวนและประยุกต์ใช้ความรู้ การสร้างเสริมให้ผู้เรียนได้เข้าถึงระดับความเชี่ยวชาญในทักษะหรือกระบวนการที่คาดหวัง
| ||
ระบุความเหมือนความแตกต่าง
(Identifying Similarities and Difference)
|
หมายถึง การจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเข้าใจและสามารถใช้ความรู้ กระบวนการทางปัญญาในการระบุหรือจำแนกสิ่งที่เหมือนและแตกต่าง
| ||
สร้างและทดสอบสมมติฐาน
(Generating and testing Hypotheses)
|
หมายถึง การจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเข้าใจและสามารถใช้ความรู้และกระบวนการทางปัญญาในการสร้างละทดสอบสมมติฐาน
| ||
Marzano, R., & Kendall, J.(2001) นำเสนอระบบอภิปัญญา (Meta-cognitive System) เป็นระบบที่มุ่งสร้างให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แบบนำตนเอง (Self-Directed Learning) ที่มุ่งให้ผู้เรียนควบคุม กำกับ ดูแลการปฏิบัติภาระงานตามเป้าหมายที่กำหนด รวมถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับกลยุทธ์ และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง การติดตาม ดูแล ปรับปรุง ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์วิธีการต่างๆ ตามความจำเป็นและเหมาสมให้ภาระงานนั้นลุล่วงตามภารกิจ ซึ่งสอดคล้องกับการปฏิบัติหน้าที่ครู แนวคิดเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายในด้าน cognitive domain ตามที่มาร์ซาร์โน (Marzono Taxonomy) ได้นำมาเสนอไว้ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ Bloom Taxonomy และ Marzono Taxonomy ได้ดังนี้
ตารางที่ 9 การเปรียบเทียบกับ Bloom Taxonomy และ Marzono Taxonomy
ที่มา : สุเทพ อ่วมเจริญ วัชรา เล่าเรียนดี และประเสริฐ มงคล การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้เพื่อสร้างความรู้ของนักศึกษาวิชาชีพครู คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 2559 : 35
จากตารางเปรียบเทียบสรุปว่า วัตถุประสงค์ตาม Bloom Taxonomy ด้าน Cognitive Domain นั้น Marzono Taxonomy เรียกว่า Cognitive System อีกสองระบบที่เพิ่มขึ้นไม่พบใน Bloom Taxonomy คือ Meta-Cognitive System และ Self-System มาร์ซาโน ได้อ้างถึง แนวคิดของ Sternberg (Marzono 1998 : 54-57) กล่าวถึงองค์ประกอบสำคัญของระบบอภิปัญญาที่ใช้ในการจัดการตนเอง (Organizing) การกำกับติดตาม (Monitoring) การประเมิน (Evaluating) และการควบคุม (Regulating) ซึ่งองค์ประกอบของการรู้คิดแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่
1. การระบุจุดหมายเฉพาะเจาะจง (Goal Specifying) คือ การกำเนิดจุดมุ่งหมายของชิ้นงาน (the job of the goal) ที่ผู้เรียนตัดสินใจเลือกปฏิบัติ โดยมีการกำหนดผลสำเร็จของงานในแต่ละขั้น
2. การระบุกระบวนการที่ชัดเจน (Process Specifying) คือ การกำหนดความรู้ ทักษะหรือกลวิธี ขั้นตอน/กระบวนการ เพื่อการบรรลุจุดมุ่งหมายของชิ้นงานอย่างเหมาะสม
3. การกำกับดูแลกระบวนการ (Process Monitoring) คือ การติดตามควบคุมแต่ละกระบวนการ แต่ละขั้นตอนในการนำทักษะ กลวิธีไปใช้สร้างสรรค์ชิ้นงานย่างมีประสิทธิผลและมีประสิทธิภาพ โดยใช้เวลาและทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
4. การกำกับดูแลการปฏิบัติงานของตน (Deposition Monitoring) คือ การควบคุมตนเองในการปฏิบัติงานที่เหมาะสม เพื่อให้งานเกิดประสิทธิผลและประสิทธิภาพ เช่น การให้ความสำคัญกับงาน มุ่งเน้นผลผลิตที่มีความถูกต้อง แม่นยำ ความเป็นระบบ มีแรงจูงใจในการทำงาน มีส่วนร่วมในการทำงาน ฯลฯ
แนวคิดเกี่ยวกับระบบอภิปัญญา (Meta-Cognitive System) ของ Marzono กล่าวสรุปองค์ประกอบของระบบอภิปัญญาได้เป็น 4 กลุ่ม คือ 1) การกำหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ (Specifying Learning Goal) 2) การกำกับติดตามการปฏิบัติงานขิงกระบวนการทางปัญญา (Monitoring the Execution of knowledge) 3) ดูแลติดตามความชัดเจน (Monitoring Clarity) 4) การกำกับติดตามให้เกิดความถูกต้อง (Monitoring Accuracy)
แนวคิดการกำหนดวัตถุประสงค์ทางการศึกษาที่อยู่บนพื้นฐานของกระบวนการคิดร่วมกับปัจจัยที่ส่งผลต่อความคิดของผู้เรียน ซึ่งมิติใหม่ทางการศึกษาที่มาร์ซาโน (Marzano) พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 3 ระบบ ได้แก่ 1) Self-System คือ ระบบที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อในตนเองในการปฏิบัติภาระชิ้นงานด้วยความเต็มใจ ตั้งใจ มีความสุข และมีความมุ่งหวังให้เกิดความสำเร็จ 2) Meta-Cognitive System คือ ระบบการควบคุมตนเองให้ปฏิบัติภาระชิ้นงาน ที่เกิดขึ้นให้บรรลุผล ด้วยการกำหนดจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ (Specifying Learning Goals) การดูแลติดตามการปฏิบัติของกระบวนการทางปัญญา (Monitoring the Execution of Knowledge) การดูแลติดตามความชัดเจน (Clarity) และการดูแลติดตามให้เกิดความถูกต้อง (Monitoring Accuracy) 3) Cognitive System คือ กระบวนการทางปัญญา (Mental Process) ที่จะปฏิบัติภาระงานสำเร็จลุล่วงไปได้ ซึ่งระบบอภิปัญญา (Meta-Cognitive System) ถือเป็นระบบที่มุ่งสร้างให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แบบนำตนเอง (Self-Directed Learning) ที่ผู้ให้ผู้เรียนควบคุมกำกับดูแลการปฏิบัติภาระงานตามจุดหมายที่กำหนด รวมถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับกลยุทธ์ ยุทธวิธีและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการติดตามดูแลปรับปรุงปรับเปลี่ยนกลยุทธ์วิธีการต่างๆตามความจำเป็นและเหมาะสมให้ภาระงานนะลุล่วงตามภารกิจซึ่งสอดคล้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้สอน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น