การออกแบบการเรียนการสอนแบบย้อนกลับ
การออกแบบการเรียนการสอนแบบย้อนกลับ
(backward
design) เป็นรูปแบบที่วิกกินส์และ แมคไทฮี (Wiggins &
McTighe, 1998) พัฒนาขึ้น รูปแบบการออกแบบการเรียนการสอนนี้เริ่มจาก
การกำหนดผลการเรียนรู้ที่คาดหวังซึ่งวิเคราะห์จากมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดจากหลักสูตรแกนกลาง
ซึ่งเป็นหลักสูตรอิงมาตรฐาน
การกำหนดหลักฐานหรือชิ้นงานที่ใช้ในการวัดผลและประเมินผลว่าผู้เรียน
บรรลุผลการเรียนรู้หรือไม่ จากนั้นจึงกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ในการพัฒนาผู้เรียน
จะเห็นว่า
กระบวนการออกแบบการเรียนการสอนแบบย้อนกลับนั้นเริ่มจากจุดมุ่งหมายทางการศึกษาเช่นเดียวกับ
ไทเลอร์ แต่มีกระบวนการดำเนินการที่ย้อนศรกับการออกแบบของไทเลอร์
สิ่งที่เป็นความแตกต่างของการออกแบบการเรียนการสอนรูปแบบไทเลอร์หรือแบบดั้งเดิม
และการออกแบบการเรียนการสอนแบบย้อนกลับ ก็คือแนวคิดในการออกแบบ
ซึ่งการออกแบบการเรียน การสอนแบบดั้งเดิมใช้แนวคิดแบบนักออกแบบกิจกรรมที่คำนึงถึงกิจกรรมและประสบการณ์การเรียนรู้
ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์ของการเรียนรู้
ในขณะที่การออกแบบการเรียนการสอนแบบ
ย้อนกลับใช้แนวคิดแบบนักประเมินผลที่คำนึงถึงผลงานหรือชิ้นงานที่ใช้เป็นหลักฐานในการประเมิน
จุดประสงค์การเรียนรู้
จากนั้นจึงจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้สร้างผลงานหรือชิ้นงาน
ซึ่งทั้งสอง แนวคิดมีความแตกต่างกัน
การออกแบบการสอนแบบย้อนกลับ
มีหลักการที่ครูต้องทำ
หรือที่เรียกว่า หลัก 6 ต้อง ซึ่งพิมพันธ์
เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข
(2552,
หน้า 11-12) ได้เสนอแนะไว้ ได้แก่
1.
ต้องเริ่มต้นด้วยการสร้างหน่วยการเรียนรู้บูรณาการเชิงมาตรฐานการเรียนรู้ (integrated
unit of learning) ซึ่งอาจเป็นหน่วยการเรียนรู้บูรณาการภายในกลุ่มสาระการเรียนรู้เดียวกัน
(intradisciplinary integrated unit of learning) หรือหน่วยการเรียนรู้ระหว่างกลุ่มสาระการเรียนรู้
(interdisciplinary integrated unit of learning)
2.
ต้องเน้นผลการเรียนรู้ที่คาดหวังตามวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจที่คงทน
พัฒนาทักษะ การคิดทั่วไป และพัฒนาลักษณะที่เอื้อต่อการเป็นผู้เรียนรู้
ผู้สืบค้นรวมทั้งนักคิด
3.
ต้องเน้นการประเมินผลการเรียนรู้ที่มีการประเมินการปฏิบัติ การทำกิจกรรม การทดลอง
และการประเมินผลงานชิ้นงานและภาระงาน หรือกล่าวโดยสรุป คือการประเมินตามสภาพจริง
4.
ต้องจัดประสบการณ์การเรียนรู้เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยใช้รูปแบบการสอน
วิธีสอน แนวการสอนเป็นยุทธศาสตร์การสอน
5.
ผู้เรียนต้องเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเองโดยผ่านการทำกิจกรรม 6.
ต้องให้ผู้เรียนทำกิจกรรมที่เป็นการประยุกต์ใช้ความรู้หรือถ่ายโยงความรู้
ซึ่งผลงาน/ ชิ้นงาน
ที่นักเรียนสร้างขึ้นจะเป็นหลักฐานหรือร่องรอยเชิงประจักษ์ของการใช้ความรู้
โดยสรุป
การออกแบบหลักสูตรย้อนกลับยึดหลักการสำคัญที่เน้นผลการเรียนรู้เป็นหลัก จากนั้น
จึงออกแบบการประเมินผลชิ้นงานหรือภาระงานที่เป็นหลักฐานแสดงผลการเรียนรู้
และออกแบบกิจกรรม การเรียนรู้ในท้ายที่สุด
กระบวนการออกแบบการเรียนการสอนแบบย้อนกลับ
ขั้นตอนการออกแบบการสอนแบบย้อนกลับ มี
3 ขั้นตอน (Wiggins & McTighe, 1998,
pp. 9-19)
ได้แก่
1. กำหนดผลการเรียนรู้ที่ต้องการ (identify
desired result) ในขั้นนี้ ผู้สอนจะต้อง
วิเคราะห์ว่าผลการเรียนรู้ที่หลักสูตรคาดหวังในหน่วยการเรียนรู้คืออะไร
อะไรเป็นความรู้หรือสาระการ เรียนรู้สำคัญที่ผู้เรียนควรรู้ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น
3 กลุ่ม ได้แก่
1) กลุ่มแรก คือ
เนื้อหาส่วนใหญ่ที่มีคุณค่าในด้านที่ทำให้เกิดความคุ้นเคยในสิ่งที่เรียน
ซึ่งเป็นรายละเอียดของเนื้อหาสาระ
2) กลุ่มที่สอง คือ เนื้อหาที่เป็นพื้นฐานที่ควรรู้และควรทำได้
คือความรู้ที่เป็น ข้อเท็จจริง/ความคิดรวบยอด/ หลักการ และทักษะสำคัญ ได้แก่
ทักษะที่เป็นกระบวนการ กลวิธี และ วิธีการ
3) กลุ่มที่สาม คือ
ความคิดหลักหรือหลักการสำคัญที่เป็นแก่นหรือสาระสำคัญของ
หน่วยการเรียนรู้ที่เป็นความเข้าใจที่คงทนฝังอยู่ในตัวของผู้เรียนเป็นเวลานาน
ในขณะที่รายละเอียด อื่น ๆ นั้น
ผู้เรียนอาจลืมไปแล้วแต่ในส่วนนี้ผู้เรียนจำเป็นต้องเข้าใจอย่างแท้จริงและจดจำได้
ครูต้องให้ ความสำคัญกับเนื้อหาในส่วนนี้
และเป็นส่วนที่จำเป็นต้องประเมินว่าผู้เรียนรู้จริงหรือไม่ วิกกินส์และแมคไทฮี
ได้ก าหนดเกณฑ์ในการพิจารณากลั่นกรองความรู้ที่มีคุณค่าสมควรแก่การสร้างความเข้าใจ
ดังนี้
1.
เป็นความรู้ที่ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ได้ในสถานการณ์ใหม่ที่หลากหลายทั้งใน
เรื่องที่เรียนและเรื่องอื่น ๆ
2.
เป็นความรู้ที่เป็นหัวใจสำคัญของหน่วยที่เรียน โดยผู้สอนจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้
เรียนรู้อย่างเป็นกระบวนการและค้นพบหลักการ
แนวคิดที่สำคัญนี้ด้วยตนเองจึงจะเป็นความรู้ที่คงทน
3.
เป็นความรู้ที่อาจจะไม่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนหรือค่อนข้างจะเป็นนามธรรม ซึ่ง
ผู้เรียนเข้าใจค่อนข้างยากและมักจะเข้าใจผิด
แต่ความรู้นี้เป็นหัวใจของหน่วยการเรียนรู้
4.
เป็นความรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติจริงในการศึกษาค้นคว้า และเป็น
ความรู้ที่สอดคล้องกับความสนใจของผู้เรียน จึงทำให้ผู้เรียนมีความสนใจ
ตั้งใจทำกิจกรรมไม่เกิดความ เบื่อหน่าย
2. กำหนดหลักฐานที่แสดงผลการเรียนรู้ (determine
acceptable evidence of learning) ค
าถามสำคัญสำหรับผู้สอนในขั้นตอนนี้ คือ ผู้สอนจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้เรียนมีความรู้
ความเข้าใจ ตามมาตรฐานหรือผลการเรียนรู้ที่คาดหวังของหน่วยการเรียนรู้ที่กำหนดไว้
การแสดงออกของผู้เรียนควร เป็นอย่างไร จึงจะยอมรับได้ว่า ผู้เรียนมีความรู้
ความเข้าใจตามที่กำหนดไว้ ดังนั้น ผู้สอนจึงต้องประเมินผล
การเรียนรู้โดยตรวจสอบการแสดงออกของผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลากหลาย ครอบคลุมสิ่งที่วัดและสะสม
ผลการวัดตลอดหน่วยการเรียนรู้เพื่อรวบรวมหลักฐานร่องรอยของความรู้และทักษะของผู้เรียน
นอกจากนี้
การวัดประเมินผลการเรียนรู้ที่เป็นความเข้าใจคงทนของผู้เรียนในภาพรวมที่เหมาะสมอีกวิธีหนึ่งคือ การประเมินตามสภาพจริง
ซึ่งควรจะเป็นการวัดจากชิ้นงานที่ผู้เรียนปฏิบัติ กระบวนการท างานและ
การสะท้อนผลการเรียนรู้จากผู้เรียนเองซึ่งเป็นการประเมินตนเองของผู้เรียน
3. ออกแบบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้และการเรียนการสอน (plan
learning experiences and instruction) ในการออกแบบการจัดการเรียนรู้หรือจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้นั้น
ผู้สอนจะต้องพิจารณาดำเนินการในสิ่งต่อไปนี้คือ
1.
กำหนดหลักฐานการแสดงออกของผู้เรียนที่แสดงให้เห็นว่าผู้เรียนมีความรู้ ทักษะ
และจิตพิสัย ตามเป้าหมายที่กำหนด
2.
กำหนดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ที่จะช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้และมีทักษะตาม
มาตรฐาน/ผลการเรียนรู้ที่คาดหวังของหน่วยการเรียนรู้
3. กำหนดสื่อ
อุปกรณ์ และแหล่งการเรียนรู้ที่เหมาะสม ที่จะทำให้ผู้เรียนพัฒนาตาม
เป้าหมายการเรียนรู้ที่กำหนด
4.
กำหนดจำนวนชั่วโมงที่ใช้ในการพัฒนาผู้เรียนในแต่ละชุดของกิจกรรมการเรียนรู้
5.
จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้โดยนำข้อมูลจากการออกแบบการจัดการเรียนรู้ มา
จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้
ขั้นตอนการออกแบบย้อนกลับดังกล่าวข้างต้น
สามารถสรุปให้เห็นภาพความสัมพันธ์ของกระบวนการ ออกแบบกับโครงสร้างของแบบแผน
เกณฑ์ในการออกแบบและผลลัพธ์จากการออกแบบ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น